Movie Review : The Purge: Anarchy (2014)
ด้วยความสดใหม่ของบทหนัง
ตั้งแต่ภาคแรก และอัตราความสนุกอยู่ในระดับหลายกะโหลก ทำให้ The
Purge ในภาคต่อเป็นอะไรที่น่าสนใจว่าหนังจะพาคนดูไปในทิศทางไหน
กับประเด็นของบทหนังที่ได้สร้างชื่อไว้
จากภาคที่แล้วเรื่องประเด็นสังคมและการเมือง
ที่หนังยังทิ้งรอยโหว่ (ที่ไม่สมประกอบและแนบเนียน) เอาไว้ให้คนดูตั้งคำถามขบคิด
มาต่อกันในภาคนี้ หนังไม่ได้สานต่อหรือเน้นย้ำในประเด็นนั้น แต่หนังกลับเลือกไปเล่าเรื่อง
“ประเพณีวันล้างบาป” ในสเกลที่ใหญ่ขึ้น
คือจากเรื่องของคนในบ้าน
เปลี่ยนมาเป็นเรื่องของคนนอกบ้าน ที่ต้องเอาตัวรอดจากคืนล้างบาปนรกแตกนั้น
แน่นอน
เมื่อหนังมุ่งความสนใจไปยังความบันเทิงเป็นหลัก แล้วทิ้งเรื่องบทที่สดใหม่ตั้งแต่เริ่มไว้กับภาคแรกไว้แบบเดิม
The
Purge: Anarchy เลยกลายเป็นงานภาคต่อที่มีทั้งได้และเสียหลายอย่างปะปนกันแบบตลบอบอวลระหว่างกำลังนั่งดู
ที่ได้คือความบันเทิงแบบลุ้นระทึกที่ใหญ่ขึ้นของคืนวันล้างบาป
ทั้งจากผู้ล่า และผู้ถูกล่า การขยายเรื่องจากภาคแรกที่ทำให้เห็นว่าการล้างบาปออกมาฆ่าคน
ไม่ใช่เรื่องของการแก้แค้น หรือนึกสนุกของคนบางกลุ่ม แต่มันขยายวงกว้างมากกว่านั้น
โดยมีเรื่องของการทำธุรกิจล่าหัวมนุษย์ด้วยกันจากพวกไฮโซ (คนรวยจ้างคนจนไปหาเหยื่อให้ตัวเองฆ่าเพื่อความบันเทิง)รวมทั้งเรื่องที่ทางรัฐก็ออกมาล่าประชาชนเช่นเดียวกัน
(แบบผิดกฎ) เพื่อถ่วงสมดุลประเพณีล้างบาปของตัวเองเอาไว้ และไหนจะมีเรื่องของการลุกฮือของกลุ่มคนที่ต่อต้านประเพณีคืนวันล้างบาปเข้ามาเพิ่มอีกด้วย
ซึ่งตลอดทั้งเรื่องจะเห็นได้ว่าหนังมันเล่าในรายละเอียดส่วนนี้ได้ค่อนข้างกลมกล่อมลงตัวกันอย่างพอดี
ในส่วนที่เสีย
เป็นเรื่องของการไม่ยอมต่อยอด และปิดแผลโหว่ของบทจากภาคที่แล้ว ซ้ำร้ายยิ่งหนังเดินเรื่องไปก็ยิ่งทำให้เรื่อง
“ประเพณีคืนวันล้างบาป” (เหมือนลัทธิศาสนาซักอย่าง) ถูกลดท่อนความน่าเชื่อถือมากขึ้น
ว่าจริงๆ แล้วมันส่งผลดีกับสังคมขนาดไหน
ฆ่าเพื่อลดจำนวนคนที่อ่อนแอ
(ที่ส่วนใหญ่ถูกเหมารวมว่าเป็นคนจน) เพื่อให้สังคมดีขึ้น พัฒนาขึ้น อาชญากรรมลดลง
เศรษฐกิจก้าวหน้า ซึ่งดูๆ ไปแล้วแม้ว่าตัวเลขทางสถิติที่หนังเอามาอ้างอิงจะช่วยให้น่าเชื่อถือ
แต่ลึกๆ แล้วข้างในสภาพจิตใจของผู้คนในสังคมยังไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด
ตราบใดที่มนุษย์ยังรู้สึกผิดกับการฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
(อันถูกปลูกฝังรากฐานความเชื่อมาจากศาสนาที่นับถือก่อนการมีประเพณีคืนวันล้างบาป) ยังสับสนกับกฎหมายบ้านเมืองที่ยังฝากผีฝากไข้ไม่ได้ในทิศทางความถูกต้องที่ควรจะเป็นโดยอิงจากหลักของมนุษยธรรม
(คนโกงเงินสมควรถูกลงโทษและชดใช้ / คนเมาขับรถชนคนตาย สมควรขึ้นศาล ติดคุก
ไม่ใช่ลอยนวล) รวมทั้งเรื่องของการที่ยังสับสนของคนในสังคมว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับประเพณีคืนวันล้างบาป
ซึ่งสุดท้ายแล้วประเพณีดังกล่าวก็แทบจะไม่มีความหมาย และแก่นแท้อันเป็นสาระอะไรให้เราต้องไปเชื่อถือ
แม้กระทั่งตัวละครในเรื่องก็ยังย้อนแย้งพฤติกรรมตัวเองหลายอย่างที่สวมบททั้ง “ผู้ล่า”
และ “ผู้ถูกล่า” ในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็ยังดีที่หนังเลือกจบและพาตัวเองออกมาจากข้อครหาดังกล่าวได้อย่างสวยหรูที่สุดเท่าที่มันควรจะเป็น
The
Purge: Anarchy จึงเป็นงานที่ขายความระลึกในสเกลที่ใหญ่ขึ้น แล้วลดความน่าเชื่อถือของแก่นสารสาระสำคัญของ
“ประเพณีคืนวันล้างบาป” ลงไปอีกหลายช่วงตัว
คะแนน 7.5/10
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น