ออนซอนนครพิงค์ : Chapter 3 "Welcome to Pentatonic Rock Bar Family"
ให้หลังจากลงทะเบียนเรียน
“วิชาผจญภัย” ได้ไม่นาน บุรุษหนุ่มจากเมืองรถม้า
ก็ขันอาสาพาผมย่ำราตรีในนครพิงค์แบบเต็มคราบเป็นหนแรก
“ธีรเนม” เป็นมิตรสหายคนแรกที่นี่ของผม
แถมยังเป็นเหมือนพี่ในที่ทำงาน และน้องชายเมื่อว่ากันด้วยตัวเลขเรื่องอายุ
พวกเราออกสตาร์ทกันด้วยร้าน
“ท่าช้าง คาเฟ่” ร้านที่วัยรุ่นแถวบางกอกกระชุ่นว่า “ซักครั้งต้องมาเยือน” ร้านนี้ถ้าจะให้คำจำกัดความ
ผมคงนึกออกอยู่ 4 อย่าง คือ หนึ่ง
เด็กเสิร์ฟชายล้วนที่ร่างกายอุดมไปด้วยรอยสักชนิดที่สาวๆ กรี๊ดกร๊าด
แต่บางทีก็รู้สึกพวกเขา “เอาเรื่อง” สอง
Cocktail Bucket นามว่า “แสงสว่าง”
ที่มีส่วนผสมของ “เหล้าแสงโสม” อันเป็นลายเซ็นต์ของทางร้าน ที่ครั้งนึงเคยน็อคผมในระดับ “ภาพหาย” มาแล้ว และสาม หญิงเยอะ
ซึ่งความทรงจำเดียวผมที่มีหาใช่ความสวยงามของพวกหล่อน
แต่เป็นถุงอ้วกที่ห้อยไว้ข้างเก้าอี้ ในระหว่างที่พวกเธอร่ำสุรา
ไฟคนหนุ่มอย่างพวกเรากำลังเริ่มจะปะทุ จาก “ท่าช้าง คาเฟ่”
ก็มายังร้าน “Warm Up Café”
ธีรเนม เลือกทำเลกับโซนเวทีด้านนอก
เขาบอกผมว่าตรงนี้เยี่ยมที่สุด หากจะเหล่มองสาวๆ
หรือถ้าหากผมจะเสพดนตรีสดก็สามารถที่จะไปเอนจอยด้านหน้าเวทีได้ แต่ธีรเนมคงลืมบอกผมไปว่า
“นายห้ามถอดเสื้อนะเว้ย”
“ถึงกับถอดเสื้อเต้นเลยเหรอพี่” เขาอุทานกับผมในระดับฉิบหาย
หลังจากคืนนึงที่ Warm Up Café พบว่าผมสนุกกับดนตรีสดกับบทเพลงของวง
Nirvana มากเกินไป
ผ่านไปสองร้านกับครึ่งทาง
เจ้ามอเตอร์ไซค์ฮอนด้า ดรีม มอเตอร์ไซค์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในแถบล้านนา
ก็พาพวกเรามาต่อยังร้าน “บางกอก”
บทเพลงของวง
Oasis
อย่าง Don't Look Back In Anger ทำหน้าที่ขับกล่อมผู้คนในร้านให้ด่ำดิ่งไปกับเนื้อหา
และท่วงทำนอง ซึ่งถ้าพวกเราเมา ก็คงจะจมไปความรู้สึกนั้นได้โดยง่าย
แต่พอยังไม่ค่อยเมา แถมดูเหมือนนักร้องนำจะไม่ได้เอาวิญญาณมาด้วย พูดตรงๆ
ก็ต้องบอกว่าเหมือนผมกำลังยืนดูผีตายซากเล่นกีตาร์ร้องเพลง
มีครั้งนึงผมกลับไปนั่งดื่มที่ร้านนั้นอีกหนกับมิตรสหาย
ถ้าไม่ติดว่ากลัวจะโดนรุมกระทืบ
และเจ้าของร้านเอาขวดเบียร์ปาใส่หัวผมคงสาดเบียร์เข้าใส่หน้าหมอนั้น และลำโพง ก่อนจะบอกว่า
“วันหลังถ้านายจะเล่นดนตรี ช่วยเอาวิญญาณออกมาจากบ้านด้วย และหาก บิลลี่ โจ
อาร์มสตรอง ฟรอนต์แมนแห่งวง Green Day เห็นนายหยิบเอาเพลงเขามาเล่น
ชนิดที่ฟังไปก็หำเหี่ยว ฉันสาบานได้เลยว่า นายจะได้ “ฟัก”
กลับไปแกงที่บ้านหลายหม้ออย่างแน่นอน”
เวลางวดเข้ามาราวเที่ยงคืนกว่า
ร้านสุดท้ายที่ธีรเนมภูมิใจนำเสนอสำหรับชาวร็อคแบบผม คือร้าน “Pentatonic
Rock Bar”
“ชาวร็อคต้องมาร้านนี้พี่” เขาว่าไว้แบบนั้น
ใจกลางนครพิงค์
อันเป็นที่ตั้งของบาร์ร็อคขนาดเล็ก แวดล้อมด้วยบาร์ต่างๆ อีกหลายแห่ง ทั้งสายแดนซ์
และเร้กเก้ วินาทีแรกที่จำได้ขึ้นใจตอนเดินเข้าประตูร้าน
คือคู่รักหนุ่มสาวชาวต่างชาติกำลังจูบกันอย่างดูดดื่มหน้าเวที
โดยมีเพลงชาติของชาวกรั้นจ์ร็อคอย่าง Smells Like Teen Spirit บรรเลงอย่างเมามันส์
ใช่แล้วครับ
ฟังไม่ผิดแน่นอน เพลง Smells Like Teen Spirit นี่แหละ!
และจากวันนั้น
มาถึงวันนี้ ไม่น่าเชื่อว่า ผมจะเดินเข้าออกร้านนั้นไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ
ถามว่าที่นั้นมีอะไรดี ผมขอตอบว่ามี “ครอบครัว”
ครับ
เปล่า
ผมยังไม่ได้แต่งงาน ผมหมายถึง เพื่อนๆ ที่นั้น ที่รู้สึกเหมือนกับ “ครอบครัว” ต่างหาก
โดยมีดนตรีร็อคมาเป็นสะพานเชื่อมโยง
ที่นี่ไม่เหมือนใคร
และไม่น่าจะมีใครเหมือน นอกจากเพลงร็อคหลากแขนง ที่ขนมาเล่นสดได้อย่างสนุก
ทั้งเฮฟวี่เมทัล อัลเทอร์เนทีฟ ฮาร์ดร็อก พังก์ แม้กระทั่งเดธเมทัลแล้ว
บรรยากาศหน้าเวทีในช่วงพีคสุดๆ ของโชว์ ก็จัดอยู่ในระดับ 10 กะโหลก
การถอดเสื้อเต้นตามผับ
หรือบาร์ที่อื่นๆ ในเชียงใหม่
อาจจะเป็นที่ดูเรื่องแปลกตาซักเล็กน้อยสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับที่คือเรื่องธรรมดา
แถมยังข้ามขั้นไปในระดับ Advance
ไม่ว่าจะเป็นการเล่น
Body
Surf, Moshpit, Circle Pit หรือแม้กระทั่งถอดกางเกงเล่นกีตาร์
ทุกอย่างพวกเราผ่านกันมาหมดจนบางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่บาร์ร็อค หรือคอนเสิร์ตที่ Woodstock
กันแน่ ฮ่าๆๆ
ที่เยี่ยมไปกว่านั้น
ที่นี่ยังเป็นที่สังสรรค์ของคนที่ชื่นชอบเพลงร็อค เหมือนเราได้ไปพบปะเพื่อนฝูง
พูดคุย (ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเกี่ยวกับดนตรีหรอก ฮ่าๆๆ) ไปผ่อนคลาย
ให้บทเพลงมันจรรโลงจิตใจ ประเภท "No Music, No Life"
“มาคนเดียวก่าครับ” ประโยคทักทายแรกจากชายเจ้าของร้าน
หลังจากที่เห็นผมมานั่งดื่มคนเดียวบ่อยครั้งขึ้น
ซึ่งส่วนใหญ่ใครที่มาคนเดียวก็จะเจอแบบนี้ แล้วก็จะตามมาด้วยประโยคที่ว่า “มาๆ มานั่งกินด้วยกัน”
แล้วจากนั้น “Welcome to Pentatonic Rock
Bar Family” ป้ายไฟที่ติดอยู่ในร้าน ก็ทำงานพร้อมกับมิตรสหายชาวร็อค
\m/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น