Foo Fighters Live in Bangkok 2017


7 ปีก่อน ตอนมาดูคอนเสิร์ต Green Day ผมบอกกับตัวเองว่า "กูตายตาหลับแล้ว" แต่แล้ววันนึง ซาตานก็เอาตีนมาสะกิดยิกๆ บอก "มึงยังตายไม่ได้! ถ้ายังไม่ได้ดูโชว์ของ Foo Fighters" 

ซาตานตนนั้น คือตนเดียวกันกับในหนังเรื่อง Tenacious D in The Pick of Destiny (2006) หรือในชื่อไทย "ปิ๊กซาตานกะเกลอร็อคเขย่าโลก" เขามีนามว่า "เดฟ ฟักกิ้ง โกรห์ล" ครับ 

ย้อนกลับไปใกล้กว่านี้หน่อยเมื่อปีก่อน มีข่าวลือที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนักถึงการแยกวงไปทำงานเดี่ยวของ Dave Grohl จนแฟนเพลงหลายๆ คนนอนเอาตีนก่ายหน้าผาก แต่แล้วข่าวลือดังกล่าวที่แชร์กันเป็นลูกโซ่ยิ่งกว่าโพสต์แจกทองของเสี่ยตันก็ถูกเฉลย เมื่อทางวงปล่อยคลิป Big Announcement ความยาว 7 นาทีออกมาอำคนดูว่าวงแตก ก่อนปิดท้ายข้อความคลิปว่า

“บอกอีกครั้งเป็นครั้งที่ล้าน เราไม่ได้ยุบวง และไม่มีไอ้ห่าตัวไหนไปทำงานเดี่ยวทั้งนั้น!” 

กรอกม้วนฟิล์มกลับมายังปัจจุบัน จากข่าวลือบ้าบอนั้นที่แชร์กระหน่ำ ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับมาวนลูปอีกที เพียงแต่คราวนี้เป็นข่าวดีกระดี่กระด๊าสำหรับแฟนเพลง 

"Foo Fighters Live in Bangkok 2017" 

"ไลฟ์อินนนทบุรีต่างหากเว้ย! อิมแพค เมืองทองธานี มันอยู่ที่เมืองนนท์" ใครบางคนโพล่งขึ้นมาเเบบฮาๆ 
มันจะไลฟ์อินบางกอกหรือเมืองนนท์ก็ช่างประไร เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเอ็งมีโอกาสไปแหกปากประสานเสียงกับ Dave Grohl และคณะ Foo Fighters ในฮอลล์แล้ว


แต่ก่อนจะแหกปากกับเพลง Best Of You เพลงฮิตเปิดหัวคอนเสิร์ตอย่าง Everlong ก็เดินเครื่อง พร้อมกับเสียงต้อนรับแฟนเพลงชาวไทยอย่างล้นหลาม 

เป็น 20 ปีที่แสนยาวนาน กับการกลับมาเยือนสยามอีกหน ตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อปี 1996 

ในขณะที่ใครคนนี้ กำลังตกอยู่ในภวังค์ประหนึ่งต้องมนต์สะกดหลังจากจบเพลงแรก Monkey Wrench เพลงที่สองก็ถูกหยิบมาอัดความมันส์ต่อ แล้วจู่ๆ ความรู้สึกผกผันกับท่วงทำนองเพลงที่กำลังเล่นก็บังเกิดขึ้น 

น้ำตาผมไหล... 

ไม่มีใครเหยียบตีน หรือมดกัดไข่ แต่มันคือความตื้นตันภายในหัวใจน้อยๆ นี่คือวงดนตรีที่ใครคนนี้อยากดูสดซักครั้งในชีวิต แล้ววันนี้...พวกเขาก็มาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว 

และดูเหมือนพวกเขาจะรู้ว่าผมน้ำตาไหล เพื่อไม่ให้ขาดช่วง Learn To Fly หนึ่งในเพลงโปรดก็ถูกบรรเลง 
จากนั้นผ่อนจังหวะลงมาหน่อยกับเพลง Something From Nothing แล้วก็กลับไปแหกปากอีกทีกับเพลง The Pretender ก่อนทางวงจะเบรกนิดนึงด้วยการคุยกับแฟนเพลง 

"พวกนายอยากจะให้ฉันเล่นรวดเดียวยัน 7 โมงเช้าเลยมั้ยยยยย?" 

เสียงตอบกลับจากแฟนๆ เป็นไปในทิศทางบวก 


เสียงคีย์บอร์ดจาก Rami Jaffee สมาชิกใหม่ของวงอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานมานี่เริ่มทำงาน เพลง Big me ที่ก่อนหน้านี้ผมเคยเปิดฟังผ่าน  mp3 แล้วเฉยๆ มาวันนี้มันกลับกลายเป็นหนึ่งในเพลงที่เล่นสดได้ไพเราะที่สุดของโชว์ 

และก็ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น ซิงเกิ้ลใหม่ที่ถูกหยิบมาโปรโมตอัลบั้มล่าสุด (Concrete and Gold) อย่างเพลง Run ก็ทำให้แฟนๆ ฮึกเหิมประหนึ่งทหารกำลังจะออกรบ โดยมี Dave Grohl เป็นแม่ทัพใหญ่ 

"We run 
We run 
We run" 

ขอบอกว่าท่อนนี้ทรงพลังโคตรๆ 

จากใหม่ล่าสุด ก็พาหวนกลับไปรำลึกความหลังกับเพลง This Is A Call  จากอัลบั้มแรกของวง แล้วก็ตัดเข้าช่วงได้พักหายใจหายคอกันอีกที เมื่อ Dave Grohl พูดคุยกับแฟนๆ พร้อมทั้งแนะนำสมาชิกในวง ซึ่งคนที่เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากแฟนๆ ได้เยอะกว่าใครคงหนีไม่พ้น Taylor Hawkins มือกลองของวงที่วันนั้นผมรู้สึกได้เลยว่า เขาคือมือกลองที่โคตรเท่บรรลัย ในขณะที่ Rami Jaffee ก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน ฝั่ง Pat Smear ที่มาในชุดสีขาวล้วน ก็ชวนให้นึกเอ็มวี  I'll Stick Around

(ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งบนเวที คือการไว้อาลัยให้กับเพื่อนร่วมอาชีพ เมื่อ หน้ากลองชุดของ Taylor Hawkins มีรูปของ Chris Cornell อดีตหัวหอกของ Soundgarden และ  Audioslave ที่เพิ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้) 


ถัดจากนั้น ก็ถึงช่วงเวลาที่สปอร์ตไลท์ส่องไปยัง Taylor Hawkins เพลง Cold Day in the Sun ที่เขารับหน้าที่ร้องนำ พร้อมกับหวดกลองไปด้วย ก็ทำให้ผมสมใจอยากกับโชว์ครั้งนี้ แล้วก็ตามด้วย Congregation อีกเพลงจากชุดก่อนหน้านี้ที่ถูกมาหยิบมาเล่นบ่อยๆ 

หลังจากทางวงพาบินไปกับเพลง Learn To Fly และออกวิ่งอย่างทรงพลังกับเพลง Run ก็ถึงคราวต้องมาเดินกันบ้างกับเพลง  Walk แถมด้วยอีกเพลงเด็ดอย่าง Rope จากอัลบั้ม Wasting Light กับโชว์หวดกลองของ Taylor Hawkins ที่มันส์มากๆ ช่วงกลางเพลง และช่วงท้าย แล้วก็ส่งอินโทรไลน์กลองอันคุ้นหูไปกับเพลง  My Hero ก่อนจะร้องกันสนั่นฮอลล์ กับท่อนฮุค "There goes my hero Watch him as he goes" 

ผ่านมาราวครึ่งทาง ดูเหมือนพลังจากวงจะยังไม่ถดถอยราวกับฉีดกระทิงแดงเข้าเส้นเลือดมา 8 ขวด และพร้อมจะเดินเครื่องอย่างเต็มสูบ จนใครคนนี้อดคิดไม่ได้ว่า "นี่มันบ้าพลังชัดๆ" 

งานที่หยิบเอามาเล่นยังเป็นเพลงที่หลายๆ คนคุ้นหูกันดีอย่างเพลง These DaysSkin and Bones ที่พิเศษใส่ไข่กับฝีมือการเล่นแอคคอเดียนของ Rami Jaffee มือคีย์บอร์ด All My Life และ Times Like These เป็นอีกสองเพลงที่ไม่ขาดตกบกพร่องในการเอาใจแฟนๆ 


มีช่วงให้แปลกใจหน่อยที่หยิบเอาเพลง Generator มาเล่น หรือเพลง Wheels ในเวอร์ชั่นอะคูสติก ที่เพราะชิบหาย แถมแฟนๆ ร้องคอรัสตามได้อย่างรื่นหู และเพลง I'll Stick Around ที่โดดกันยับกับท่อนฮุคที่สุดเดือดดาล 

เบรกช่วงท้ายด้วยเพลงใหม่อย่าง Sunday Rain ที่ Taylor Hawkins รับบทร้องนำอีกรอบ ตามด้วยการทรมานคนดูอย่างผมกับเพลง Breakout ชนิดที่ผมยกธงขาวบอกว่า "ยอมแล้ว" จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยสองเพลงอย่าง The Sky Is a Neighborhood ที่เพิ่งปล่อยเอ็มวีไปก่อนหน้านี้หนึ่งวันก่อนโชว์ของวง และปิดท้ายตามธรรมเนียมอย่างสมบูรณ์แบบด้วยเพลง Best of You ที่ทุกคนพร้อมใจกันร้องอย่างสุดเสียง 


ถึงตรงนี้ ขอกระโดดเตะเสาไฟฟ้าเดิมพันได้เลยว่า Foo Fighters คือวงร็อคระดับโลกที่เล่นสดได้มันส์ และได้ใจแฟนๆ อันที่จริงเรื่องแบบนี้มันพิสูจน์มาตั้งนานแล้ว และไม่มีอะไรต้องไปกังขาพวกเขา ดังเรื่องราวสองย่อหน้าข้างล่าง 

ขาหักระหว่างเล่นสดบนเวทีเมื่อสองปีก่อน แต่ Dave Grohl ก็บอกกับแฟนเพลงที่ โกเธนเบิร์ก ในสวีเดน ว่า “ฉันขอสัญญากับนายเลย ว่าพวกเรา Foo Fighters จะกลับขึ้นมา และเล่นโชว์ให้จบแน่ๆ” แล้วเขาก็กลับมาเล่นต่อจนจบร่วมสองชั่วโมงครึ่ง หลังจากขอไปเข้าเฝือกที่โรงหมอเสร็จมาใหม่ๆ 

ขาหัก หาใช่เป็นอุปสรรคชีวิต ให้หลังจากนั้นมาไม่นานนัก ทางวงก็ได้ใจแฟนๆ อีก เมื่อมาเปิดคอนเสิร์ตในเมืองเล็กๆ  หลังจากเห็นคลิปวิดีโอแฟนเพลงจำนวน 1,000 คนที่มารวมตัวกันในเมืองเซเซน่า ประเทศอิตาลี คัฟเวอร์เพลง “Learn to Fly” เพียงเพื่ออยากให้ Foo Fighters มาเล่นคอนเสิร์ตที่นั่น (ตอนดูคลิปวิดีโอนั่นเป้นครั้งแรกยังรู้สึกขนลุก)



ส่วนเรื่องราวทั้งหมดที่เขียนมาตั้งแต่บรรทัดแรก ในค่ำคืนวันที่ 24 สิงหาคม 2017 พวกเขาก็ได้ใจผมไปเต็มๆ ด้วย

ในฐานะ "ร็อคสตาร์" ตัวจริง 

ปล.มีวิดีโอมาให้ชมด้วยกันถึง 3 เพลง 


ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ขนมเด็กโบราณในความทรงจำ

Movie Review : อวสานโลกสวย (2016)

Movie Review : Jeepers Creepers (2001)