บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กันยายน, 2013

สยองนี้ที่ลำปาง

รูปภาพ
  เหตุเกิด ณ โรงแรมแห่งหนึ่งกลางเมืองลำปาง “ พี่เอาห้องนี้ไปล่ะกัน ” น้องฝึกงาน ททท.เชียงใหม่ โยนกุญแจห้องพักโรงแรมให้ผม เป็นการบ่งบอกโดยนัยว่า มึงเอาห้องพักชั้น 7 ห้อง 703 ไป ผมพักกับพี่นักข่าวอีกคน แว่บแรกสับตีนออกจากลิฟต์ ป้ายห้องละหมาดแทงลูกตา ทำเอาผมสงสัยเล่นๆว่า ไยโรงแรมถึงได้มีห้องละหมาดแบบนี้ เพราะไปมาหลายที่ก็ไม่เคยเจอ คิดเหมาเอาเองว่า น่าจะมีคนอิสลามมาเยอะ เจ้าของเขาคงทำเอาไว้ พอพ้นจากลิฟต์สู่ทางเดิน สบตาแรกที่เจอห้องพักคือพิกัดมันอยู่ต้องทางโค้งของตึก พูดง่ายๆก็คือ ออกจากลิฟต์แล้วเดินมา 5 – 6 ก้าว เลี้ยวขวาเจอทางเดินไปห้องพักต่างๆ พอเดินมาซัก 3-4 ห้อง จะถึงโค้งหรือมุมตึกให้เลี้ยวซ้าย ไอ้ตรงมุมนั้นแหละห้องพักผมเอง ส่วนสุดทางจะเป็นห้องละหมาด ทางเดินตรงไปห้อง 703 ( สุดทางเดินคือห้องพักผม) ตามสไตล์ ผมไม่พยายามจะคิดแมวน้ำอะไรให้มันมาก แต่ก็รู้สึกแปลกๆ ห้องอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นห้องนี้ เพราะดูๆไป ทำเลมันไม่ค่อยเวิร์ค เก็บของ เก็บกระเป๋า ออกไปทำงานตอนเย็น กลับมาอีกที สามทุ่มกว่า อยู่ดีๆ ก่อนเข้าโรงแรมพี่โมก พี่นักข่าวอีกคนเสือกชวนผ

Movie Review : Project X (2012)

รูปภาพ
Project X หนังอำนวยการสร้างจาก ทอดด์ ฟิลลิปส์ ผู้กำกับจาก The Hangover หนังว่าด้วยเรื่องการจัดปาร์ตี้วันเกิดโทมัส ตัวเอกของเรื่องในฐานะอายุครบ 17 ปี ที่บ้านตัวเอง (พ่อแม่ไม่อยู่บ้านซะด้วย) โดยมีเพื่อนซี้สนับสนุนในงานปาร์ตี้สองคน คือคอสต้ากับเจบี ช่วยกันกระจายข่าวในโรงเรียน ชวนชาวบ้านมาร่วมงานให้เยอะที่สุด โดยกะจะให้งานนี้สร้างความเด่นดัง ชื่อเสียงตัวเองในโรงเรียนและในหมู่เพื่อนฝูง อีกทั้งยังอยากจะพิสูจน์ตัวเองว่าเจ๋ง และเพื่อบอกให้ทุกคนรู้ว่า กูโตจนไม่ใช่ไอ้ลูกแหง่อีกแล้ว หนังมาแบบเมาเลอะในกลิ่นอายของ The Hangover ทั้งจากบุคลิกตัวละคร ความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อน และตัวละครสติแตกที่ไม่น่าจะเกี่ยวโยงอะไร แต่ตอนจบมันจะโผล่มาเป็นส่วนสำคัญในตอนท้าย Project X ขายความเลอะเทอะในตัวละคร แต่ไม่ถึงกับเด่นจนคนจดจำได้เหมือนกับ  Zach Galifianakis ใน The Hangover , บรรยากาศความฉิบหายวายป่วงของปาร์ตี้ จนเลยเถิดเอาไม่อยู่เกินจะควบคุม จนนำไปสู่เหตุการณ์ในจุดไคลแม็กของเรื่อง และมุมกล้องของหนังในแบบกล้องแฮนดี้แคม เพื่อความหลุดโลกเหมาะสมกับเนื้อหาหนัง จุดจบไม่ต่างอะไรกับ The Hangover  ปาร์ต

Movie Review : Warm Bodies (2012)

รูปภาพ
ผมคงเหมือนหลายคน ที่ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วก็ให้รู้สึกว่ามีหลายอย่างคล้ายกับแวมไพร์ ทไวไลท์ คู่พระนางที่แทบจะลอกมากันเป๊ะทั้งลักษณะหน้าตา, ความรักต่างเผ่าพันธุ์, การยอมรับความแตกต่าง และทำความเข้าใจระหว่างเผ่าพันธุ์ และพล็อตหนัง เปลี่ยนจากแวมไพร์กับคน เป็นซอมบี้กับคน เปลี่ยนจากหมาป่าเป็นโบนี่ (ต่างกันแค่โบนี่ ไม่มีความคิด) และเปลี่ยนจากสงครามแวมไพร์แกมหมาป่า (คนคือตัวกลางทั้งสองฝ่าย)  มาเป็นสงครามของคนกับโบนี่ (ซอมบี้คือตัวกลางของทั้งสองฝ่าย) พระเอกนางเอกมีความรู้สึกแตกต่างผิดแปลกจากเผ่าพันธุ์ตัวเอง พระเอกคิดไม่เหมือนซอมบี้ทั่วไป นางเอกก็เช่นกันที่รู้สึกกับซอมบี้ต่างจากคนทั่วไป จากนั้นที่เหลือก็คือการยอมรับ และปรับเปลี่ยนเพื่อทำความเข้าใจ บทลงท้ายจะออกมาแบบไหนก็คงพอจะเดากันออก ไม่ฝ่ายไหนก็ฝ่ายหนึ่ง สงครามต่างเผ่าพันธุ์เพื่อความอยู่รอดก็แค่น้ำจิ้มเรื่อง พอไม่ให้เบาเหวงในบท ส่วนเนื้อในทั้งหมดก็คือความรู้สึกข้างใน กายจะตายไปเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าหัวใจยังไม่ตาย เจ็บได้ รู้สึกได้ แม้ไม่ต้องโดนยิง โดนแทง ให้เห็นเลือด ซอมบี้ก็มีหัวใจเหมือนๆ กัน เพื่อแค่ที่ผ่านมาเขา

Movie Review : Stand By Me (1986)

รูปภาพ
Stand By Me หนังที่ได้เนื้อเรื่องดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของ สตีเฟน คิง เรื่อง The Body กล่าวถึงเรื่องราวของกลุ่มเด็กชายสี่คน เดินทางออกจากบ้านเพื่อตามหาศพของเด็กชายที่หายสาบสูญไปจากเมือง ด้วยเหตุผลต้องการเป็นฮีโร่ของกลุ่ม และเป็นฮีโร่ของคนในเมือง ความสนุกของหนังเรื่องนี้ มันอยู่ตรงที่มิตรภาพระหว่างเพื่อนสี่คนในระหว่างการเดินทางไปตามหาเด็กซึ่งหนังเรื่องนี้ ถ้าผู้ชายดูจะรู้สึกอินได้ง่ายๆ เลย เพราะหลายๆ ฉากของหนังมันสะท้อนภาพ เหมือนเรากลับไปเป็นเด็กอายุ 12-13 ปี มีเพื่อนซี้วัยเดียวกัน ที่ในหัวมีแต่เรื่องสนุก ให้เล่นเยอะแยะไปหมด อีกจุดนึงที่หนังสอดใส่เข้าไป คือการอยากพิสูจน์ตัวตน เพื่อให้คนอื่นยอมรับในตัวเอง ยอมรับว่ามีดี ยอมรับว่ายังมีตัวตนบนโลกใบนี้ เหมือนกับเรื่องจริงในชีวิตของผู้กำกับ ร็อบ ไรเนอร์ อันเป็นกระจกสะท้อนเงาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตนกับพ่อ ทิ้งท้ายตอนจบด้วยงานเขียนของพระเอกบอกไว้ว่า "ผมไม่มีเพื่อนอีกเลยหลังจากนั้น เพื่อนที่เหมือนตอนผมอายุ 12 พระเจ้า มีใครบ้าง" ใช่แล้วครับ ผมก็รู้สึกแบบนั้น รู้สึกว่าเพื่อนในวัยเด็กมันซี้กันจริ