บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2013

16 คำถามส่งท้ายปี 2556

รูปภาพ
ใกล้จะถึงปีใหม่ พวกคุณคิดถึงอะไรกันบ้าง ?   งานเคาน์ดาวน์สุดอลังการ , ปาร์ตี้สุดเหวี่ยงกับเพื่อนๆ , หาที่เที่ยวสักที่ชาร์จพลังชีวิต , สวดมนต์ข้ามปี , ทำบุญตักบาตร , โบนัสสิ้นปี , ทำงานงกๆไม่ได้หยุด หรือนอนแคะสะดือเล่นอยู่ที่บ้าน ใครจะเลือกกิจกรรมไหน หรือคิดถึงอะไรก็ไม่ใช่เรื่องผิด ซึ่งต่างคนก็ต่างกรรมต่างวาระกันออกไป  พอดีผมนึกขึ้นได้ถึงหนังสือเล่มนึง ชื่อหนังสือเรื่อง “Fineday Sadturday คืนวันเศร้า เช้าวันสุข ” ของนักเขียน “ ผมอยู่ข้างหลังคุณ ”   หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาของหนังในรอบปี 2555 (ไม่ได้พิมพ์ พ.ศ. ผิดนะ)  ที่หยิบยกเอามาวิเคราะห์ให้แตกประเด็นในเชิงจิตวิทยา ความเป็นไปในสังคมทั้งด้านดีและร้าย   บังเอิญจะมีอยู่ 1 หน้าที่ผมชอบมาก มันเป็นคำถามง่ายๆ ที่ยิงมาใส่เรา ให้เราคอยตรวจเช็คชีวิตที่ผ่านมาว่าคุณทำอะไรลงไปบ้างในรอบปี   ใครทำให้คุณรำคาญที่สุด ?   คุณสูญเสียใครไป ?   คุณละเลยใครไปบ้าง ?   ของขวัญที่ดีที่สุดของคุณคือ ?   อะไรคือสิ่งที่คุณเสียใจมากที่สุด ?    ใครให้แรงบัลดาลใจคุณ ?   หนังสือเล่มโปรดของคุณคือ ?  ใครละเลยคุณบ้า

Movie Review : Captain Phillips 2013

รูปภาพ
Captain Phillips งานแอ็คชั่น /ทริลเลอร์ จากเจ้าพ่อหนังแอคชั่นเหวี่ยงกล้อง พอล กรีนกราสส์ ที่เคยฝากผลงานมาสเตอร์พีซไว้กับ  The Bourne Ultimatum (ส่วน Green Zone หลายคนบ่นเป็นหมีกินผึ้งว่าเวียนหัวฉิบหาย จะเหวี่ยงไปไหน)กลับมาครานี้ เฮียแกจับคู่กับ ทอม แฮงค์ส โดยหยิบยกจากข่าวดังเมื่อปี 2009 ของกัปตันเดินเรือที่ต้องเผชิญกับโจรสลัดโซมาเลีย เมื่อเรือบรรทุกสินค้า  Maersk Alabama  ถูกโจรสลัดโซมาเลียบุกยึด พร้อมจับกัปตันและลูกเรือเป็นตัวประกัน หนังเปิดฉากอย่างไม่รีรอ เดินเรื่องอย่างฉับไว เมื่อ “กัปตัน ฟิลลิปส์” (ทอม แฮงค์ส) ต้องขนเรือบรรทุกสินค้าผ่านน่านน้ำที่เต็มไปด้วยโจรสลัดโซมาเลีย และจากข้อมูลเท่าที่ทราบก็ทำให้เขาต้องเตรียมพร้อมซ้อมรับมือกลุ่มโจรสลัด แต่ในระหว่างซ้อมรับมือที่เพิ่งผ่านไปไม่ถึง 5 นาที “ของจริง” ก็มาเยือนให้ได้ทดสอบ จากนั้นหนังก็เดินหน้าเข้าสู่ช่วงที่เรียกว่าทั้งสองฝ่ายต้องช่วงชิงจังหวะกัน ฝ่ายเรือบรรทุกสินค้านำโดย “กัปตัน ฟิลลิปส์” ต้องพาลูกเรือรอด ส่วนกลุ่มโจรสลัดการยึดเรือบรรทุกสินค้าถือเป้าหมายหลักอันสำคัญ แน่นอน หนังของ พอล กรีนกราสส์ ถ้าเป็นแอคชั่น มันไม

แด่พ่อ...ผู้อันเป็นที่รัก

รูปภาพ
ถ้ามีใครมาถามผมว่าไอดอลของผมเป็นใคร ผมจะยืดอกกล้าตอบอย่างภาคภูมิใจไปเลยว่า “ พ่อผมครับ ” ใช่แล้ว พ่อผมเอง พ่อที่ไม่ได้เป็นนักธุรกิจประสบความสำเร็จร่ำรวยระดับหมื่นล้าน พ่อที่ไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูงเป็นที่นับหน้าถือตา พ่อที่ไม่ใช่ดาราละครน้ำเน่าผู้มีชื่อเสียงทางทีวีแต่เป็นพ่อผมที่เป็นพ่อค้าขับรถเร่ขายหอม กระเทียม พริกแห้ง และผลไม้ ตั้งแต่เล็กจนโต ตอนอยู่กับพ่อทุกครั้ง ผมได้ซึมซับอะไรหลายๆ อย่างจากพ่อ ทั้งลักษณะนิสัย บุคลิกท่าทาง และการใช้ชีวิต ผมติดการดูหนังจากพ่อเพราะม้วนวิดิโอหนังเรื่อง Rambo, Mad max และ American Ninja   ผมติดการฟังเพลงจากพ่อ เวลาที่พ่อขับรถเร่ขายของแล้วเปิดเพลงสุรพล สมบัติเจริญ สลับแทรกกับการพูดของพ่อ   ผมติดการอ่านหนังสือมาจากพ่อ เพราะตู้หนังสือที่บ้านเป็นหนังสือของพ่อหมด   ผมติดและชอบการเดินทางไปที่ใหม่ๆ ทุกครั้งเวลาที่พ่อขับรถไปซื้อของมาขายจากที่ไกลๆ   ผมติดนาฬิกาข้อมือเหมือนพ่อ ชนิดที่ว่าไม่ใส่วันนึงก็แทบจะเป็นจะตาย และอะไรอีกหลายๆ อย่าง ฉะนั้นทุกครั้งที่ผมคุยกับแม่เรื่องพ่อ เอาอัลบั้มรูปเก่าๆ จากฝีมือการถ่ายของพ่อมาเปิดดู แววต

Movie Review : Carrie (2013)

รูปภาพ
Carrie หรือชื่อไทย “อีสาวสยอง” (ผมเติมคำว่า “อี” ลงไปเพื่อให้ได้อารมณ์) หนังที่ดัดแปลงจากนิยายของสตีเฟ่น คิง โดยหนังเวอร์ชั่นเดิมนั้นเป็นของปี 1976 และมาคราวนี้เวอร์ชั่นปี 2013 ถูกรื้อเอามาทำใหม่อีกรอบ รับบทอีสาวสยองโดยแม่หนู  โคลอี เกรซ มอเร็ตซ์ ที่ดูโตเป็นสาวขึ้น หลังจากเพิ่งผ่านหน้าเธอกับ Kick – Ass 2 ไปหมาดๆ ส่วนอีกเรื่องของ Carrie ในปีของ 1999 กับชื่อ The Rage : Carrie 2 ขออนุญาตไม่นับล่ะกัน ออกตัวก่อนเลยว่ายังไม่มีโอกาสได้ดูเวอร์ชั่นดั้งเดิม หลังจากถูกสหายและแมกกาซีนหนังกวักมือร่ำๆ ให้ไปหาดู จนสุดท้ายเลยตัดสินใจรอดูเวอร์ชั่นใหม่แบบเต็มๆ เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่าการอยากเสพความสดใหม่ของตัวหนังตามประสายุคดิจิตอล หนังเปิดเรื่องด้วยฉากเหตุการณ์คลอดลูกของมาร์กาเร็ต ไวท์ (แม่ของแคร์รี่) ในบ้าน หญิงสาวที่เคร่งในศาสนาและมีความเชื่อว่าลูกของเธอมีบาป เป็นสิ่งชั่วร้ายที่ถูกถ่ายทอดมาจากสามีของเธอที่เลิกรากันไปนานแล้ว ก่อนจะตัดมายังฉากปัจจุบันในตอนที่แคร์รี่เป็นสาววัยรุ่น เป็นเด็กที่มีปมในชีวิต แปลกแยก ไม่เหมือนใคร และโดนเพื่อนๆ ในโรงเรียนรังแก ซึ่งก็มีเพียงแค่คุณครูคอลินส์เท่านั้

Movie Review : Jeepers Creepers (2001)

รูปภาพ
เจ้า Creeper ถูกนิตยสาร Starpics เวอร์ชั่น สยองขวัญ จัดให้เป็น 1 ใน 30 ซุปเปอร์สตาร์วงการหนังแนวนี้ ด้วยบุคลิกและฟังก์ชั่นส่วนตัวอันโดดเด่น มีชีวิตอมตะ มีจมูกที่ใช้สูดกลิ่นความกลัวของมนุษย์ดวงซวยที่มันจะล่า (คล้าย Freddy Krueger คือยิ่งกลัวยิ่งชอบ) อีกทั้งเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประลาด ลักษณะคล้ายคน แต่งตัวด้วยชุดคลุมและหมวกใบโทรมๆ (นี่ก็แต่งตัวคล้าย Freddy Krueger อีก) แถมมีปีกบินได้ไม่ต่างจากไดโนเสาร์พันธุ์มีปีก โดยมีเวลาการล่าเหยื่อ 23 วัน ในทุกๆ 23 ปีที่มันออกมาจากขุมนรก “อสูรนรกใต้โลก” นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อหนังแบบไทยๆ ในภาคแรก (หนังมีสองภาค ภาคสองใช้ชื่อว่า “โฉบกระชากหัว”) เหตุเริ่มเมื่อ ทริซ และ แดร์รี่ สองพี่น้องขับรถกลับมาเยี่ยมพ่อและแม่ในช่วงปิดเทอม และบังเอิญระหว่างทางไปเจอเจ้า Creeper กำลังขนศพโยนลงท่อหลังโบสถ์ร้าง จากนั้นเมื่อมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นความกลัวของสองพี่น้องนี้ ก็เป็นปฏิบัติการไล่ล่าเอาชีวิตของคนทั้งคู่ Gina Philips ในบทของ "ทริซ" เธอสวยสะกดตาเลยล่ะ ช่วงต้นเรื่องของหนังเสียเวลาเยอะไปในบางฉากทั้งๆ ที่ควรจะทำให้มันกระชับกว่า

ดราม่าหนังสือป๋าเฟอร์กี้

รูปภาพ
  เรื่องมีอยู่ว่าเพจ Red Army Fanclub เพจของผู้ขายวิญญาณเด็กผีให้แก่แมนฯ ยูฯ ได้ โพสต์รายละเอียดเรื่องหนังสืออัตชีวประวัติป๋าเฟอร์กี้ ว่ามีให้สั่งจองแบบพรีออเดอร์ทางเว็บอเมซอนแล้วนะจ๊ะ หลังจากโพสต์หนังสือเรื่องอีป๋าไป ก็มีลูกเพจเด็กผีมาแสดงความเห็นกันเยอะแยะ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีผม และเพื่อนที่รู้จักกันในเฟซบุ๊คมาพูดคุยกัน ในทำนองคุยกันสองคนบนพื้นที่สาธารณะออนไลน์ เนื้อหาพูดคุยก็ตามในภาพด้านล่าง ใจความสำคัญไม่ได้มีแมวน้ำอะไรมาก แค่พากันสงสัยว่า สนพ.ไหนจะเอามาแปลเป็นเวอร์ชั่นไทย โดยไอ้ผมก็วิเคราะห์ไปตามประสบการณ์ที่เคยทำงานงานหนังสือมาก่อน ว่าสยามสปอร์ตกับเนชั่น น่าจะคว้าสิทธิ์นั้นนะ จากนั้นดราม่ามาเริ่มขึ้นเมื่อมีเจ้าของเฟซบุ๊คนาม Kwan Giggs Gant อินบ็อกมาหาผม กับเพื่อนอีกคน พร้อมบอกว่า เฮ้ย พวกแกสองคนคุยกันไม่อายเด็กอนุบาลเลยนะเฟ้ย แถมยังใช้ภาษาไทยได้ผิดจากคำว่า “หยามปอด” แทนที่จะเป็น ”สยามสปอร์ต” พร้อมตบท้ายด้วยว่าข่าวลือเรื่องคนแปลหนังสือป๋า อยากเพิ่งไปเชื่อนะว่าคุณเกี๊ยง (นันทขว้าง สิรสุนทร) จะได้เป็นคนแปล เพราะเจ้าตัวแค่บอกว่า “อาจจะ” ได้แปลเท่านั้น พลันให้

Movie Review : Lost In Thailand (2012)

รูปภาพ
ถ้าประชากรชาวจีนไม่มาเที่ยวเชียงใหม่เยอะ บางที Lost In Thailand อาจจะเป็นแค่หนังจีนธรรมดาเรื่องนึงที่ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรกับคนไทย และคนเชียงใหม่ แม้หนังจะโกยรายได้ไปเยอะในแดนมังกรก็ตาม ว่ากันด้วยตัวหนัง นี่เป็นงาน Comedy ที่พูดถึงเรื่องราวของคนสองคนที่มีจุดหมายต่างกัน แต่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันแบบจับผลัดจับผลู เพื่อออกเดินทางไปยังเป้าหมายที่วางไว้ซึ่งก็คือ เชียงใหม่  คนแรกคือ “ซู” ไปเชียงใหม่ เพื่อตามตัวเจ้านายให้เซ็นเอกสารทางธุรกิจตัวเอง ส่วนคนหลังคือ “หวัง” ที่มาเที่ยวเมืองไทยโดยเฉพาะ ซึ่งในระหว่างนั้น “ซู” ถูก “โบ” คู่แข่งทางธุรกิจ สะกดรอยตามมาตั้งแต่เมืองจีน เพื่อขัดขวางการเซ็นเอกสาร โดยที่เหลือต่อจากนั้น ก็เป็นการผจญภัยแบบรั่วๆ ของ “ซู” และ “หวัง” ในเชียงใหม่    ธรรมดาของหนังแนวนี้ ตัวละครหลักสองคนย่อมมีบุคลิกแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนนึงจริงจัง อีกคนตลกๆ ไม่เอาไหน และการใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างทาง เป็นเรื่องทำความเข้าใจยากของทั้งสองฝ่าย แต่สุดท้ายตามสูตร ก็ต้องเคลียร์ปัญหาเพื่อทำความเข้าใจ ที่สำคัญทั้งสองมีปมปัญหาส่วนตัวของตัวเองที่ต้องจัดการให้สิ้นซาก (ซู

Movie Review : Prisoners (2013)

รูปภาพ
ดูจากชื่อหนังในเวอร์ชั่นภาษาไทย คงต้องบอกว่าหนังน่าจะมาในโทนแอคชั่น เฉือนเหลี่ยม เชือดคมกัน แต่เอาเข้าจริงหลังจากสับตีนเข้าไปดูในโรง ก็ต้องบอกว่ามันเป็นงานดราม่า /ทริลเลอร์ เรื่องราวการหายตัวไปของเด็กสาวสองคนในวันขอบคุณพระเจ้า ก่อนจะถูกสืบสวนตามหาจากนักสืบโลกิ (เจค จิลเลนฮาล) และอีกฟากหนึ่งเป็นเคลเลอร์ (ฮิว แจ็คแมน) หนึ่งในคุณพ่อที่ลูกสาวถูกลักพาตัวไปในวันนั้น (อีกคนเป็นลูกสาวเพื่อนบ้าน) ซึ่งวิธีการทั้งสองก็สวนทางกัน เพราะโลกิ นักสืบหนุ่มทำงานตามแบบฉบับอยู่ในกรอบกฎหมาย ส่วนเคลเลอร์ก็ไม่แยแสวิธีการอะไร ขอแค่ตอนนั้นตัวเองได้ลูกสาวกลับคืนมาก็พอ ที่เหลือจากนั้น หนังก็เดินเรื่องเข้าสู่โหมดสืบสวนหาตัวผู้ต้องสงสัยจากทั้งสองฝั่ง ซึ่งเมื่อมองจากพล็อตหนังแล้ว ก็ให้ชวนนึกสงสัยอยู่ว่าหนังจะเล่าออกมาในวิธีใด จากระยะเวลาสองชั่วโมงกว่า หนังค่อยๆ เปิดเผยรายละเอียดให้คนดูตามเก็บไปทีละจุดพร้อมๆ กัน ก่อนจะเอาข้อมูลทั้งหมดมาประกอบแล้วไขปมหาตัวคนร้าย โดยระหว่างรายทางก็จะมีผู้ต้องสงสัยหลายคนโผล่หน้าเข้ามาให้ขบคิด หลอกล่อ พลิกไปพลิกมา แต่สุดท้ายหนังก็ไม่ยากเกินกว่าคนดูจะเดาออกว่าเป็นใคร แถมห

Movie Review : The Texas Chainsaw Massacre - บางส่วนถึงสิงหาสับ...

รูปภาพ
ไม่แน่ใจว่าสิงหาสับมีกี่ภาค แต่เท่าที่รู้ดูไปแล้ว 5 ภาค คือ The Texas Chainsaw Massacre 1 ปี 1974, 1986, 2003, 2006 และ 2013 3D และเท่าที่ค้นเจอข้อมูล มันมี ภาค 3 ของปี 1990 และอีกภาคเป็นปี 1994 ฉะนั้น มันน่าจะมี 7 ภาค แบบต่อเนื่องกัน และไม่ต่อเนื่อง ซึ่งจากการประมวลผลก็พอจะสรุปได้ว่า.... สนุกสุด น่าจะเป็นปี 2006 ทุกอย่างดูลงตัว แต่ภาคนี้ก็ยังแพ้เรื่องของบทหนังในปี 2013 ที่ดูเป็นเรื่องเป็นราว มีเหตุมีผลมากขึ้น จนอดสงสารเลทเธอร์เฟซไม่ได้ ส่วนภาคอื่น เผลอเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า กูจับเลื่อยไฟฟ้าหั่นหมด (บางคนยกให้ภาคแรก ปี 1974 ดีสุด อาจจะเพราะตอนนั้นมันคือปฐมบทของหนัง ซึ่งถ้าผมดูภาคนั้นเป็นภาคแรก ของสิงหาสับ บางทีอาจจะชอบกว่าปี 2006 ก็ได้ ?) ส่วนภาคปฐมบทปี 1974 ฉากฆาตกรรมไม่โหด น่ากลัวสุุดคงตอนกล้องจับภาพไปที่ดวงตาของนางเอก ชนิดเต็มจอตอนมันกรี๊ดหลังถูกมัดไส้บนเก้าอี้ มีเสียงดนตรีหลอนๆ ปนมา แต่ในระหว่างหลอนๆ ก็ยังแอบตลกไอ้ปู่หน้าแก่ (นั่งอยู่กลางตรงในภาพ) ส่วนการฆ่าไม่มีที่มาที่ไป แต่ที่หงุดหงิดใจที่สุด คือหนังจบแบบดื้อๆ เหมือนเรากำลังดูหนังแล้ว มีคนมาถอดปลั๊กท