Movie Review : Captain Phillips 2013


Captain Phillips งานแอ็คชั่น /ทริลเลอร์ จากเจ้าพ่อหนังแอคชั่นเหวี่ยงกล้อง พอล กรีนกราสส์ ที่เคยฝากผลงานมาสเตอร์พีซไว้กับ The Bourne Ultimatum (ส่วน Green Zone หลายคนบ่นเป็นหมีกินผึ้งว่าเวียนหัวฉิบหาย จะเหวี่ยงไปไหน)กลับมาครานี้ เฮียแกจับคู่กับ ทอม แฮงค์ส โดยหยิบยกจากข่าวดังเมื่อปี 2009 ของกัปตันเดินเรือที่ต้องเผชิญกับโจรสลัดโซมาเลีย เมื่อเรือบรรทุกสินค้า Maersk Alabama ถูกโจรสลัดโซมาเลียบุกยึด พร้อมจับกัปตันและลูกเรือเป็นตัวประกัน

หนังเปิดฉากอย่างไม่รีรอ เดินเรื่องอย่างฉับไว เมื่อ “กัปตัน ฟิลลิปส์” (ทอม แฮงค์ส) ต้องขนเรือบรรทุกสินค้าผ่านน่านน้ำที่เต็มไปด้วยโจรสลัดโซมาเลีย และจากข้อมูลเท่าที่ทราบก็ทำให้เขาต้องเตรียมพร้อมซ้อมรับมือกลุ่มโจรสลัด แต่ในระหว่างซ้อมรับมือที่เพิ่งผ่านไปไม่ถึง 5 นาที “ของจริง” ก็มาเยือนให้ได้ทดสอบ จากนั้นหนังก็เดินหน้าเข้าสู่ช่วงที่เรียกว่าทั้งสองฝ่ายต้องช่วงชิงจังหวะกัน ฝ่ายเรือบรรทุกสินค้านำโดย “กัปตัน ฟิลลิปส์” ต้องพาลูกเรือรอด ส่วนกลุ่มโจรสลัดการยึดเรือบรรทุกสินค้าถือเป้าหมายหลักอันสำคัญ


แน่นอน หนังของ พอล กรีนกราสส์ ถ้าเป็นแอคชั่น มันไม่ใช่แอคชั่นแบบระเบิดภูเขาเผากระท่อมเหมือน ไมเคิล เบย์ แต่เป็นแอคชั่น ลุ้นระทึก ที่ทำให้คนดูนั่งไม่ติดเก้าอี้ พร้อมกับการลุ้นไปกับตัวละคร ส่วนเรื่องเหวี่ยงมุมกล้อง ยังคงถูกหยิบยกมาใช้ในบางฉากบนท้องทะเล แต่ไม่ได้ถูกนำมาสื่อในทางตื่นเต้น ลุ้นระทึก เพราะความระทึกทั้งหมดจะโฟกัสไปยังตัวละครบวกกับดนตรีประกอบและการตัดต่อ หากใช่ฉากเหล่านั้น

ทอม แฮงค์ส ในบท “กัปตัน ฟิลลิปส์” ทำให้คนดูรู้สึกว่าเขาเป็น “กัปตันเรือ” ที่เป็นกัปตันจริงๆ ไม่ใช่กัปตันที่เก่งรอบด้านสามารถทำทุกอย่างเอาชนะโจรได้ง่ายดาย (ถ้าเป็นคนอื่น คงจัดการคนเดียวและชนะโจรแบบดื้อๆ ด้วยมือเปล่า?) แต่แต่เลือกที่จะเสียสละเพื่อให้ลูกเรือทุกคนได้ปลอดภัยในมาดของผู้นำ ส่วนตัวประกอบอื่นๆ ก็โผล่หน้ามาให้แบบผ่านแล้วผ่านเลยไม่มีอะไรให้จดจำ พอๆ กับหัวหน้ากลุ่มโจรสลัด


ประเด็นหยิบย่อยที่เหลือ มีการจิกกัดถึงความเป็นอเมริกันชน การแบ่งแยกชนชั้นกลายๆ ผ่านโจรสลัดที่ถูกเลือกเป็นคนผิวสี เป็นคนที่อยู่อีกชั้นวรรณะที่ทำให้รู้สึกว่าไม่มีทางได้ดี แม้จะมีเงินมหาศาลจากการปล้นเรือ แต่สภาพชีวิตก็ยังเหมือนเดิม ผ่านบทสนทนาของ “กัปตัน ฟิลลิปส์”

บทสรุปลงเอยส่งท้ายไม่ผิดคาดจากคนดูเท่าไหร่ ความสนุกลุ้นระทึกมีมาแบบเรื่อยๆ เรียงๆ และแม้ไม่พีคถึงขีดสุด แต่หนังจบก็ทำให้คนดูรู้สึกโล่ง และปลดปล่อยความอึดอัดทั้งหมดทั้งมวลไปกับท้องทะเล

“ไม้ซีกงัดไม้ซุง” บอกแค่นี้ก็น่าจะเดาออกว่าจะจบแบบไหน เพียงแต่ที่ให้ลุ้น คือลุ้นว่าจะจบเมื่อไหร่ ยังไง ก็เท่านั้น

คะแนน 7.5/10

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ขนมเด็กโบราณในความทรงจำ

Movie Review : อวสานโลกสวย (2016)

Movie Review : 12 Angry Men (1957) อย่าด่วนตัดสินใคร!