ไต่ระห่ำดอยหนอก


ในช่วงใกล้จะสิ้นปีที่ผ่านมา ผมเลือกส่งท้ายทริปตัวเองด้วยการเลือกเข้าป่าอีกครั้งกับเพื่อนฝูงที่สนิทกัน และเพื่อนใหม่ที่เพิ่งมารู้จักกันในทริป โดยเป้าหมายของเรานั้น คือการตะบันฝีเท้าเพื่อไปพิชิตดอยหนอก ที่จังหวัดลำปาง วางโปรแกรมเอาไว้คร่าวๆ คือวันที่ 2930 ธันวาคม 2557

ทริปนี้เกิดขึ้นโดยพี่ที่รู้จักกันในกลุ่มกล้องครับ แกมาชวนผมและหาสมาชิกเพิ่มไปเดินลุยป่าด้วยกัน ซึ่งหลังจากประกาศหาสมาชิกกันเสร็จเรียบร้อย เป็นอันว่าเราก็ได้สมาชิกมาทั้งหมดด้วยกัน 9 คน รวมทั้งผมด้วย โดย 7 คน ออกเดินทางจากลำพูน มุ่งหน้าสู่ บ้านปงถ้ำ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง ส่วนอีก 2 คน จะมุ่งหน้าจากพะเยา แล้วไปรอเจอกันทั้งหมดที่บ้านปงถ้ำ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง ครับ เวลานัดเจอกันก็ประมาณ 9.30 น.

พวกเราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าประมาณ 06.30 น. ครับ โดยผมออกมารอเพื่อนๆ ที่มาจากลำพูน ตรงบิ๊กซี ดอนจั่น เชียงใหม่ ส่วนรถกระบะอีกคันจากลำพูน ก็แวะไปรับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งแถวๆ สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี จากนั้นก็ค่อยนัดเจอกันอีกทีที่ อ.ดอยสะเก็ด เพื่อออกเดินทางพร้อมๆ มุ่งหน้าสู่ อ. วังเหนือ จ.ลำปาง



เส้นทางเดินรถพวกเราจากเชียงใหม่ มุ่งหน้าเข้าสู่ อ.ดอยสะเก็ด จากนั้นค่อยต่อไปยัง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย และสุดท้ายไปจบที่ บ้านปงถ้ำ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง อันเป็นสถานที่เริ่มต้นในการเดินป่าพิชิตยอดดอยหนอก



จากตอนแรกที่คิดไว้ น่าจะถึงบ้านปงถ้ำประมาณ 09.30 น. แต่ไปๆ มาๆ พากันไปถึงช้าประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้น 7 คน ที่มาจากลำพูน และเชียงใหม่ ก็ต้องรอเพื่อนอีกสองหน่อ ที่มาจากพะเยา ต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมง สรุปกว่าจะได้ออกเดินทางกันก็ปาไปเกือบเที่ยง (จริงๆ เพื่อนที่มาจากพะเยา มาถึงก่อนนานแล้ว แต่ที่ต้องรอเพราะหากันไม่เจอ และโทรหาไม่ติด ฮ่าๆๆ )




ก่อนออกเดินทางสมาชิกทั้ง 9 คน อันประกอบไปด้วย ชาย 8 คน (ใน 8 คนนี้ พวกเรามีเพื่อนร่วมทริปเป็นชาวญี่ปุ่นถึง 3 คน ครับ) และ หญิง 1 คน  ต่างพากันจัดเตรียมข้าวของที่ขนลงจากรถจัดแจงใส่กระเป๋าเป้ให้พร้อม ส่วนใหญ่ที่แบ่งๆ กันแบก คืออาหารการกิน และของใช้ส่วนรวมที่พวกเราต้องขนกันขึ้นไปเอง เพราะพวกเราจะไม่จ้างลูกหาบกัน รวมทั้งคนนำทาง ส่วนที่จ้างก็จะมีแค่รถของชาวบ้านที่ต้องขนพวกเราไปยังจุดเดินทางขึ้นดอย ซึ่งใช้เวลานั่งรถประมาณ 1 ชั่วโมงด้วยกัน ระยะทางก็ประมาณ 34 กิโลเมตร ครับ โดยรถที่ใช้เดินทาง คือ รถแทรกเตอร์ขนาดเล็ก ติดพ่วงลากเอา

จากหมู่บ้าน รถแทรกเตอร์ขนาดเล็กพาพวกเราค่อยๆ เคลื่อนทัพกันออกไป ซึ่งเมื่อสิ้นสุดทางหมู่บ้านอันเป็นถนนคอนกรีต ถนนก็สับเปลี่ยนสภาพเป็นถนนลูกรังกันทันที



ระหว่างทางเรามีจุดสำคัญอันเป็นที่สนใจอยากจะนำเสนอกัน คือพอเดินทางมายังสุดถนนทางเข้าหมู่บ้าน ฝั่งขวามือจะมีพระพุทธรูปแกะสลักหินหน้าผาสูงของบ้านปงถ้ำ เป็นพระพุทธรูปปางปฐมเทศนาแกะสลักหินหน้าผาที่ใหญ่ที่สุดในไทยตามคำบอกเล่าของพ่อหลวงบ้านปงถ้ำ ซึ่งพระพุทธรูปแกะสลักหินนี้ สร้างมาแล้วได้ประมาณ 3 ปี



ส่วนบริเวณด้านล่างพระพุทธรูปแกะสลักหิน ประดิษฐานพระพุทธรูปด้วยกัน 3 องค์ และตรงบริเวณนั้นซึ่งเป็นภูเขาขนาดเล็ก มีถ้ำน้อยใหญ่ด้วยกันอีกประมาณ 5 ถ้ำ ซึ่งภายในถ้ำจะมีพระพุทธรูปองค์ขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่ 29 องค์ รวมทั้งมีร่องรอยของการใช้ชีวิตของคนในสมัยก่อน โดยในอนาคตอันใกล้นี้ พ่อหลวงบ้านปงถ้ำบอกเอาไว้ว่า จะทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบจัดเต็ม ให้นักท่องเที่ยวได้แวะเข้ามาชมกัน ก่อนมุ่งหน้าเดินทางขึ้นไปยังดอยหนอก



จากเรื่องพระพุทธรูป ขอพาวกกลับมายังการเดินทางขึ้นสู่ยอดดอยหนอกกัน ถนนหนทางที่เราผ่านนั้น จัดว่าลำบากและระห่ำพอสมควรครับ เพราะมันมีทั้งทางถนนลูกรัง สลับตัดกับถนนที่ต้องวิ่งผ่านลำธาร อันมีแต่ก้อนหินขนาดใหญ่เขื่อง ชนิดที่รถที่จะผ่านไปได้ ต้องมีสภาพที่เหมาะสมในการใช้กับสภาพถนนเยี่ยงนี้ ถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์ก็ต้องมอเตอร์ไซค์วิบาก ถ้ารถกระบะก็ต้องเป็นประเภท 4x4



สภาพแวดล้อมระหว่างเดินทางเป็นไร่ นา ของชาวบ้านแถวนั้น ซึ่งก็มีทั้งไร่ข้าวโพด มันสำปะหลัง กล้วย บางช่วงนั่งรถผ่านก็ค่อนข้างแห้งแล้ง บางช่วงดีหน่อยมีลำธารไหลผ่านก็ชุ่มชื่นกันไป

นั่งรถมาประมาณ 1 ชั่วโมง ชมวิวมาเรื่อยๆ ด้วยเส้นทางที่ทุลักทุเล ก็เป็นอันว่าถึงจุดที่พวกเรา ต้องเดินเท้าขึ้นไปยังดอยหนอกกันแล้วเรียบร้อย



สัมภาระเฉลี่ยส่วนใหญ่จะแบกเป้คนละใบ (ซึ่งข้างในมีของกิน ของใช้ส่วนตัว) และเต็นท์กันครับ โดยไอ้ที่พากันขนๆ ขึ้นไปเน้นๆ ก็เป็นน้ำดื่ม กับมาม่า

ระยะทางเดินเท้าจากจุดเริ่มต้นประมาณ  45 กิโลเมตร ด้วยกัน ถามน้องคนที่ขับรถมาส่งน้องบอกว่า พวกพี่เดินประมาณเที่ยงกว่าๆ ไปถึงนู้นก็คงประมาณสี่โมงเย็น



เส้นทางเดินเท้าช่วงแรกเป็นไร่ข้าวโพดของชาวบ้านครับ จากนั้นพอหลุดจากไร่มาก็จะเดินเข้าป่าตรงตีนดอยอันจะมีแต่ต้นกล้วยป่าขึ้นหนาทึบ ทางเดินตอนนั้นถือว่ายังไม่ชันมาก เดินกันมาเรื่อยๆ เอื่อยๆ สบายๆ พอเดินมาได้ซักครึ่งชั่วโมง เลยพากันหยุดพักกินข้าวเที่ยงระหว่างทาง เพราะตั้งแต่เช้ามาบางคนข้าวยังไม่ตกถึงท้อง จะมีก็แค่กินอะไรมาเล็กๆ น้อย ตอนจอดแวะกันที่ปั้มน้ำมัน




อาหารมื้อเที่ยงวันนั้นพวกเราไม่มีอะไรมากครับ ได้ข้าวเหนียว หมูปิ้ง หมูทอด ฮอทดอก และข้าวปั้นญี่ปุ่น ที่เพื่อนร่วมทริปชาวญี่ปุ่นทำมา รสชาติอาหารมื้อนั้นจัดว่าอร่อย ทั้งจากรสชาติของอาหาร และบรรยากาศที่นานๆ ได้มากินข้าวกลางป่ากัน

ท้องอิ่มเป็นที่เรียบร้อย แวะไปล้างหน้าล้างตาตรงน้ำตกขนาดเล็กให้สดชื่น ก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อ ซึ่งจากนี้ไปก็ยิงยาวกันเลยครับ เดินไปเรื่อยๆ ใครเหนื่อย ใครเมื่อยก็หยุดพัก



ปกติการเดินป่าถ้ามากันเป็นหมู่คณะ ส่วนใหญ่ก็มักจะรอกันถ้าใครคนหนึ่งเดินช้ากว่า หรือหยุดพักอยู่ ซึ่งคณะผมก็เป็นแบบนั้น แต่ทีนี้พอเดินไปเดินมา เลยการเป็นว่าต่างคนต่างเดิน จนทิ้งห่างกันแทบไม่เห็น ฮ่าๆๆ แต่ก็มีบางช่วงที่หยุดรอกันบ้างเพื่อความพร้อมเพรียง



ในส่วนของสภาพป่า ซึ่งช่วงแรกที่เดินมาเป็นป่ากล้วย ให้หลังจากนั้น ก็ปรับโหมดจากป่ากล้วยมาเป็นป่าไผ่ ไผ่ส่วนใหญ่ที่เห็นน่าจะเป็นไม้ไผ่เอาไว้ทำข้าวหลาม เพราะมันจะมีลักษณะกระบอกยาวๆ เปลือกบางๆ เหมือนที่ผมเคยเห็นไม้ไผ่ที่เขาเอามาทำข้าวหลามที่ อ.วังสะพุง จ.เลย

ทั้งนี้ สำหรับใครที่เคยไปเดินขึ้นภูกระดึงมาก่อน แล้วมาเดินดอยหนอก จะเห็นว่าพื้นที่ป่าบางช่วงให้อารมณ์คล้ายๆ กัน คือมีทั้งป่าไผ่ และป่าเต็งรังผสมปนเป แต่ป่าเต็งรังจะอยู่สูงขึ้นไปอีกจากป่าไผ่ที่ผมว่า



เรื่องยุงป่า อันนี้มีกันแน่นอนครับ ใครจะมาเดินป่าขึ้นดอยหนอก แนะนำว่าพกยาทากันยุงมาด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวยุงจะถล่มกันเอา ขนาดผมนั่งพักเอาแรง 5 นาที ก็ตบยุงตายไปตั้งหลายตัวแล้วจนบางทีก็ไม่อยากจะนั่งพัก เพราะเป็นคนค่อนข้างที่จะขี้หงุดหงิดกับยุงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

เวลาไม่เคยหยุดนิ่ง และเช่นกันที่สองเท้าของแต่ละคนยังคงเดินกันมาเรื่อยๆ สลับกันแซงไปมา จนเริ่มทิ้งช่วงห่างไม่เห็นกั น เบื้องหน้าผมยังไม่รู้ว่าอีกไกลขนาดไหนกว่าจะถึงยอดดอย และตัวเองเดินมาไกลขนาดไหนแล้ว ฉะนั้นงานนี้ก็เลยต้องหยิบเอาสมาร์ทโฟนมูลค่าสองหมื่นกว่าออกมาใช้กันซักหน่อย ให้มันคุ้มกว่าการเอาไว้เป็นนาฬิกาปลุกเฉยๆ และที่จะเอามาใช้ก็คือ แอพพลิเคชั่นที่บอกว่าเราเดินกันไปแล้วกี่กิโลเมตร



ดูในมือถือมันบอกว่าเดินมาได้กิโลเมตรกว่าๆ ซึ่งเมื่อคิดคำนวณจากจุดเดินแรก คิดว่าตัวเองน่าจะเลยครึ่งทางมาได้ซักหน่อยแล้ว อีกอย่างตอนเดินมีเห็นดอยหนอกใกล้เข้ามาทุกขณะ จากนั้นไม่ทันไร การเดินทางของพวกเราครั้งนี้ก็มีจุดพลิกผัน เพราะพากันเริ่มจะหลงป่า

ต้นเหตุมีอยู่ว่า ตอนผมเดินถึงสามแยกหนึ่ง มันมีทางเลือกให้เดินแยกซ้าย ขวา โดยฝั่งขวามีกิ่งไม้หักไว้ ตามที่เข้าใจกันในคณะคือไม่เดินไปทางนั้น ผมเลยเลือกเดินมาทางซ้าย (คนเดียว) ซึ่งพอเดินไปเรื่อยๆ ปรากฏว่ามันเลียบลงไปเรื่อยๆ แทนที่จะขึ้นข้างบน ตามเพื่อน 3 คนที่มุ่งหน้าไปก่อน ปรากฏว่าเดินไปเดินมา ไม่เห็นวี่แววว่าตัวเองจะเดินตามเพื่อนไปทัน ตอนนั้นสันนิษฐานแล้วว่า ตูมาผิดทางแน่ๆ

ไม่ทันไร เพื่อนที่เหลือตามหลังอีก 5 คน เลยโทรมาถาม เมื่อเดินถึงสามแยกที่ผมเจอ ผมบอกว่าน่าจะออกขวา เพราะถ้ามาซ้ายเหมือนผมตอนนี้ ผมยังไม่เจอใครเลย แต่ ณ ตอนนั้นที่กำลังโทรคุยกัน ผมก็ยังไม่หยุดเดิน เรียกว่าเดินกันไปเรื่อยๆ ให้มันรู้ว่าข้างหน้าตูมาถูกทางรึเปล่า จนสุดท้ายผมก็เดินโผล่มาเจอทางขึ้นยอดดอยหนอก บริเวณลานหินกว้างๆ อันมีเพิงให้พักขนาดเล็ก แถมยังมีน้ำจากลำธารตรงนั้นให้ดื่มให้ใช้กันด้วย

ตอนนั้นคุยกันทางโทรศัพท์เสร็จ เพื่อนกลุ่มตามหลังมาที่เหลือ เลยเลือกเดินมาตามเส้นทางผม ส่วนกลุ่มที่รุดหน้าไปก่อน 3 คน ตอนนี้ถึงยอดดอยหนอกแล้วเรียบร้อย สรุป สามแยกตรงนั้น เลือกเดินทางซ้ายที่ผมมาน่าจะเป็นทางใหม่ที่คนใช้กันประจำ ส่วนทางขวาน่าจะเป็นทางเก่า ซึ่งชันและระห่ำมากกว่าเส้นทางใหม่



ยืนรอเพื่อนที่ลานหินได้ซักพัก พวกเราที่เหลือ 6 คน ก็พากันเดินขึ้นสู่ยอดดอยหนอกซึ่งอยู่ไม่ไกลมากประมาณ 1 กิโลเมตร และห้าโมงเย็น ก็เป็นอันว่าถึงจุดกางเต็นท์กันซักที บริเวณลานพระทันใจ ซึ่งอยู่ห่างจากดอยหนอกที่ต้องปีนเขาขึ้นไปราว 500 เมตร เห็นจะได้





ครั้นไปถึงลานกางเต็นท์ ทีแรกนึกว่าสมาชิกทั้ง 3 ที่มุ่งหน้ามาก่อน (แต่ไปคนละทาง) จัดแจงกางเต็นท์กำลังเตรียมมื้อเย็นกัน แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่า 3 คนนั้น ยังมาไม่ถึงลานกางเต็นท์กันเลยครับ พ่อคุณ เพราะ 3 คนนั้น อยู่บนดอยหนอกกันแล้วเรียบร้อย และกำลังเดินลงมายังจุดกางเต็นท์





พอ 3 คนดังกล่าวลงมาถึง เลยสอบถามได้ความว่า เส้นทางที่พวกเขาเลียบเลาะมานั้น เป็นทางเก่า แถมความหวาดเสียวและระห่ำ เพราะบางช่วงเดินเลียบหน้าผาสูงชันกันมาเลย



พระอาทิตย์ใกล้ตอกบัตรเลิกงาน พวกเราทั้งคณะหลังจากพร้อมเพรียงกันแล้วทั้ง 9 คน ก็ทำการจัดแจงกางเต็นท์และเตรียมมื้อค่ำ บริเวณลานพระเจ้าทันใจ  ตรงจุดนี้เป็นจุดเดียวที่สามารถกางเต็นท์นอนได้ คำนวณคร่าวๆ ด้วยสายตา น่าจะกางนอนได้ประมาณ 10-15 หลัง แบบเต็มที่สุดๆ แล้ว




ในช่วงระหว่างเตรียมอาหารการกิน และที่หลับที่นอน ผมถือโอกาสแว่บหนีเพื่อนๆ มาเดินสำรวจรอบๆ แถวนั้นว่ามีวิวตรงไหนน่าสนใจบ้าง ผมเดินลัดเลาะทุ่งหญ้าที่สูงประมาณเอวไปเรื่อยๆ ตามทางเดินเท้า บริเวณตรงสันเขาแถวนั้นจัดว่าไม่กว้างมากนัก ทั้งสองฝั่งเมื่อมองลงไปด้านล่างจะเห็นเป็นทิวเขาสลับกันไปน้อยใหญ่ มีบางจุดที่มองจากตรงนี้ไกลๆ เห็นเป็นหมู่บ้านย่อมๆ



อย่างฝั่งทางด้านซ้ายมือจะเป็นฝั่งของ อ.วังเหนือ จังหวัดลำปาง (อาจจะครอบคลุมบางส่วนของจังหวัดเชียงรายด้วย) พอตกกลางคืนมา ก็จะมีแสงไฟให้เห็นระยิบระยับเพียงเล็กน้อย ส่วนอีกฝั่งขวามือ อันนี้จะเป็นของจังหวัดพะเยา ไฟในเมืองจากกลางคืนดูท่าจะเยอะกว่า แต่ก็ลำบากหน่อยในจุดชมวิว เพราะหาที่จะถ่ายรูปฝั่งด้านนี้แทบจะไม่มีเลย ยกเว้นเสียแต่ว่าต้องขึ้นไปบนยอดดอยหนอก แต่ใครมันจะขึ้นไปตอนกลางคืนล่ะครับ เสี่ยงกันเกินไปพ่อคุณทูนหัว

ช่วงระหว่างรอเพื่อนทำอาหาร ผมก็ไล่เก็บบรรยากาศกันไปเรื่อยในช่วงพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน และสีของท้องฟ้ากำลังสวย พลันพอมืดค่ำ จนเริ่มจะมองไม่เห็นทาง (และเสี่ยงต่อการเดินตกเขา) ผมก็รีบสับตีนกลับมายังที่พักที่อยู่ห่างกันไม่ไกลมากนัก



กลับมาถึงเพื่อนๆ ต่างถามหาว่าหายหัวไปไหน กับข้าวมื้อเย็นเราพร้อมแล้ว โดยมื้อเย็นวันนั้นเรามีมาม่าเป็นอาหารชูโรง ส่วนพระรองที่เหลือ ก็เป็นลูกชิ้น ฮอทดอก ปลาหมึกแห้ง ที่ขนมาทอดกันบนดอย สำหรับผมต้มมาม่าขอพักเอาไว้ก่อน เพราะขอเลือกซัดข้าวเหนียวหมูปิ้งที่เหลือจากช่วงเมื่อกลางวันก่อนก็แล้วกัน มันน่าจะให้พลังงานเยอะและอยู่ท้องกว่า

แล้วมื้อค่ำ พวกเราก็บรรเลงใต้แสงจันทร์ มีอาหารที่แสนธรรมดานั้น รสชาติอร่อยกว่าปกติที่เคยกินๆ มา

..........................................




หลังท้องอิ่ม นั่งทอดน่อง เสวนากันไปเรื่อย และเพื่อเพิ่มอรรถรส แน่นอนว่าการขึ้นดอยมาแบบลำบากและเมื่อยล้าขนาดนี้ ไอ้ครั้นจะไม่มีของมึนเมาก็ใช่เรื่อง ว่าแล้วเพื่อนชาวญี่ปุ่นทั้งสามคนที่อุตส่าห์ขนเมรัยมา ก็ทำการนำเสนอเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเหล้าบ๊วยของชาวญี่ปุ่น ว่าด้วยเรื่องรสชาติ จัดว่าเยี่ยมใช้ได้ คล้ายเหล้าขาว 40 ดีกรี แต่กินง่ายกว่ากันเยอะ แถมมีปลาหมึกทอดเป็นของกับแกล้ม ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้น ก็ช่วยทำให้เลือดลมฉีดพล่าน คลายความหนาวไปได้บ้างในค่ำคืนอันเงียบสงบบนดอย



กินข้าว ร่ำสุรากันพอเป็นกษัย ราวสองสามทุ่มหลายๆ คนก็เริ่มทยอยกันไปเฝ้าพระอินทร์กันแล้วเรียบร้อย เหลือทิ้งไว้แต่ผมเพียงคนเดียว นั่งเหม่อมองฟ้า ดูดาว และเสพบรรยากาศบนดอยยามค่ำคืน อากาศคืนนี้จัดว่าไม่ค่อยหนาวมาก ซึ่งคงตกอยู่ราวๆ ประมาณ 15 องศาเซลเซียส เห็นจะได้




สี่ห้าทุ่ม ผมบอกลาดาวทุกดวง และแสงจันทร์ ดับกองไฟ แล้วค่อยๆ มุดเข้าเต็นท์ไปนอน พรุ่งนี้เช้าประมาณตีห้า ทุกคนในคณะเรามีนัดเพื่อขึ้นไปพิชิตยอดดอยหนอกกัน เพื่อสัมผัสกับวิวทิวทัศน์ และความงามของพระอาทิตย์ในยามรุ่งอรุณ

ตี 4 พี่นนท์ หัวหน้าคณะลุยป่าเรา ออกเอากล้องมาส่องเพื่อเก็บดาวบนฟ้าก่อนใคร ส่วนที่เหลือๆ ก็พากันค่อยๆ ทยอยลุกขยี้หนังตา เตรียมตัวพากันขึ้นไปยังบนยอดดอย



ระยะทางจากจุดกางเต็นท์ขึ้นไปบนนั้น คงอยู่ราวๆ 1 กิโลเมตรด้วยกัน (จำไม่ได้ว่าตอนไหนผมบอกว่า 500 เมตร อันนั้น ไม่น่าจะใช่ล่ะครับ ผมคำนวณใหม่ มันน่าจะอยู่ราวๆ 1 กิโลเมตร ฮ่าๆๆ) ช่วงแรกเดินเลาะไปเรื่อยๆ ไม่ชันมาก จากนั้นพอผ่านไปครึ่งทาง ก็จะสับเกียร์เปลี่ยนโหมดเป็นทางที่สูงชันกันมากขึ้น

ในระหว่างกำลังไต่ขึ้นดอยหนอก หลายๆ คนในคณะ เริ่มคิดแล้วว่าตูจะรอดมั้ย เพราะทางไต่ขึ้นไปมันช่างหวาดเสียวและสูงชันเหลือเกิน คือมันชันมากในระดับ 70 องศา ด้วยกัน




ในความสูงชันที่ว่านั้น ที่แลดูจะลำบาก ยังมีเรื่องดีๆ ให้พอได้ชื่นใจ เพราะช่วงที่ยากที่สุดของการไต่ดอย ยังมีสลิงเอาไว้ให้เราได้จับยึดระหว่างเดินขึ้น อีกอย่างตรงทางเดิน มันก็ยังพอมีซอกหินให้เราเอาเท้าค่อยๆ เหยียบไต่ขึ้นไป แบบสบายๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรองเท้าที่ใส่มาเดินป่าและไต่ดอยแบบนี้  ควรที่จะมีพื้นที่ยึดเกาะได้ดีเหมือนตีนตุ๊กแก เพราะมันช่วยได้มากจริงๆ ในระหว่างเดินขึ้นดอย




ประมาณ 40 นาที เห็นจะได้ พวกเรา 6 คน (อีก 3 คน เพื่อนชาวญี่ปุ่น ไม่ขึ้นมาด้วย เพราะกลัวไม่ไหว รออยู่ที่กางเต็นท์) ก็มายังจุดสูงสุดของยอดดอยหนอกสำเร็จ และเป็นหนึ่งในผู้พิชิตยอดดอยแห่งนี้กันแล้วเรียบร้อย ซึ่งสีหน้าแววตาแต่ละคนพอทำภารกิจสำเร็จ ส่วนใหญ่ออกไปทางโล่งอกมากกว่ายิ้มแย้มแจ่มใส ฮ่าๆๆ



สำหรับพื้นที่บริเวณบนยอดดอยหนอกที่ไม่กว้างมากนัก เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุดอยหนอก ซึ่งจากข้อมูลการสร้างเท่าที่ทราบมานั้น บอกว่า อาจารย์สุวัฒน์ฯ ท่านเป็นผู้มาบูรณะพระธาตุบนยอดดอยหนอกเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ด้วยแรงศรัทธาโดยบูรณะจากของเดิม จากคำบอกเล่าว่าท่านชีปะขาวได้สร้างไว้ ซึ่งปรากฏภาพในนิมิตขณะนั่งสมาธิ ซึ่งในทุกๆ ปีจะนำอาจารย์จะนำลูกศิษย์ลูกหา ศรัทธาพี่น้อง ขึ้นดอยไปสักการะพระธาตุในช่วงเดือนเมษายน



ส่วนข้อมูลทางภูมิศาสตร์นั้น (เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีสาระ) ดอยหนอก เป็นภูเขาที่สูงใหญ่และมีแนวทอดยาวกั้นระหว่าง 3 จังหวัด นั่นคือ เชียงราย พะเยา และ ลำปาง ที่มีชื่อว่าภูเขาผีปันน้ำ โดยมีส่วนหนึ่งของภูเขานี้ที่มีชื่อว่า ดอยหนอกเป็นดอยสูงสุดบนสันดอยหลวง ซึ่งหากมองแต่ไกล ดอยจะมีลักษณะนูนขึ้นมาคล้ายโหนกวัว มีความสูงประมาณ 1,694 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง มีสภาพดินเป็นดินลูกรังผสมหินโดยเฉพาะบนยอดเขา ส่วนบริเวณหุบเขาจะมีดินสีดำอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และหินมีลักษณะเป็นหินกรวดหรือหินปูนทราย เป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำวังและกว๊านพะเยา ประกอบด้วยป่าชนิดต่างๆ 5 ประเภท อันได้แก่ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง และป่าสนเขา มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งสัตว์ป่าอื่นๆ อีกมากมาย



หลังกราบไหว้พระธาตุกันเสร็จ พวกเราก็พากันยืนซึมซับบรรยากาศของยอดวิวบนนั้น ซึ่งในระหว่างที่กำลังจะพากันลงไป ก็มีอะไรบางอย่างมาทักทายเรา อะไรที่ว่านั้นก็คือ ทะเลหมอกครับ

และมันเป็นทะเลหมอกที่สวยมากๆ สวยในระดับที่นางงามจักรวาลยังต้องหลบฉากหนีกันเลย

ฝั่งที่เห็นทะเลหมอกนั้น เป็นในของจังหวัดพะเยาครับ ซึ่งถ้ามองดีๆ บางทีก็เหมือนกับวิวในต่างประเทศที่มีหุบเขาสูงๆ (ไม่เคยไปหรอก เคยเห็นแต่ในหนังสือ) นาทีนั้น พวกเราต่างกันกดชัตเตอร์รัวๆ  เก็บภาพความทรงจำไปหลายชอตกันเลยทีเดียว



พอทะเลหมอกเริ่มจางหายไปกับแสงแดดที่แรงขึ้นตามลำดับ ก็ได้เวลาพากันไต่ลงดอย ซึ่งตอนไต่ขึ้นดอย หลายคน (รวมทั้งผม) ต่างพากันเข้าใจว่า ตอนขึ้นมันน่ากลัวที่สุดแล้ว แต่พอมาเจอตอนลง พวกเราพากันเปลี่ยนความคิดใหม่แล้วว่า ขาลงนี่แหละ มันน่ากลัวที่สุด

เพราะอะไร?

เพราะตอนขึ้นมาเราเอาแต่ก้มมองดูทางเดิน และเงยหน้าดูยอดดอยเป็นหลัก กลับกันพอเป็นตอนลง เราก็จะพากันมองทางเดินเหมือนกัน และแน่นอนได้มองดูบริเวณโดยรอบด้วย ซึ่งมันเห็นมิติความสูงชันและลึกของเหว มากกว่าตอนขึ้นไป ชนิดที่ว่าหากใครตกลงไป ถ้ารอดก็ปาฏิหาริย์สุดๆ แล้ว



ความน่ากลัวกำลังรอทุกคนอยู่เบื้องหน้า พวกเราค่อยๆ พากันไต่ดอยลงมาอย่างระมัดระวัง ซึ่งจากเดิมที่เห็นทางแล้วคิดหนัก พอเริ่มเดินไต่ลงได้ซักพัก หลายๆ อย่างก็เริ่มจะดูง่ายขึ้นกว่าที่คิด ด้วยความชำนาญและระดับความสูงที่เริ่มจะลดหลั่นกันไปเรื่อยๆ

ขาลง พวกเราใช้เวลาไม่นานนัก น่าจะครึ่งหนึ่งของเวลาตอนขึ้นมา พอไปถึงจุดกางเต็นท์ก็พากันรีบเก็บข้าวของ เก็บเต็นท์กัน รีบเดินทางลงดอย โดยมื้อเช้าของพวกเราจากแต่เดิมว่าจะพากันกินตรงนี้ เลยพากันเปลี่ยนแผนลงไปกินด้านล่าง บริเวณที่เป็นลานหินมีเพิงหมาแหงน เพราะน้ำดื่มพวกเราเริ่มจะหมดกันแล้ว ซึ่งถ้าเอาน้ำมาประกอบอาหาร น้ำคงไม่เพียงพอกันแน่นอน ฉะนั้น เลยต้องลงไปทำอาหารกันตรงนั้น เพราะมันมีน้ำดื่มซึ่งเป็นน้ำจากลำธารเอามาใช้ดื่มกินได้

มื้อเช้าวันกลับเรา เมนูก็เหมือนเดิมครับ เป็น มาม่าคัพ ที่ขนกันมาหลายแพคนั่นแหละ และตบด้วยกาแฟคนละแก้ว พร้อมขนมขบเคี้ยวนิดๆ หน่อย ซึ่งพอท้องอิ่มกันก็ได้เวลาเดินลงเขากันซักที



ขาลง พวกเราทำเวลากันได้เร็วพอสมควร (แหงล่ะ) ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงเห็นจะได้ เดินแบบสบายๆ (แต่เจ็บเท้าหน่อย) กลับเส้นทางเดิมที่พากันขึ้นมา โดยมีรถแทรกเตอร์ติดพ่วงที่พาพวกเรามาส่งเมื่อวานรออยู่ด้านล่างพร้อมรอรับ

ประมาณบ่ายสองเป็นอันถึงตีนดอย ภารกิจพวกเราเสร็จสิ้นอย่างลุล่วง รถแทรกเตอร์ค่อยๆ ขนพวกเราเดินทางช้าๆ ออกจากป่าลัดเลาะผ่านทุ่งนา ไร่ สวน และลำธาร สีหน้าแต่ละคนระหว่างนั่งรถ แม้จะดูเหนื่อยและอ่อนเพลีย แต่ลึกๆ ก็ฉาบไปด้วยความสุขที่ครั้งหนึ่งได้มาพิชิตดอยหนอกด้วยกันในวัน (เกือบ) ส่งท้ายปี

และแน่นอน หากมีโอกาสอีกที (พวก) ผมกับดอยหนอกนี้ คงได้เจอกันอีกครั้งแน่นอนครับ

ปล.ขอตบท้ายด้วยภาคพิเศษด้วยข้อมูลเสริมต่างๆ ในการมาพิชิตดอยหนอกกันนะครับ ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญ สำหรับใครที่อยากจะมาเดินพิชิตยอดดอยกันที่นี้

การเดินทาง
ไม่สำคัญว่าคุณจะมาจากไหน คุณต้องมาเริ่มต้นที่บ้านปงถ้ำ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง จะมารถส่วนตัว หรือรถโดยสารอะไร ก็มาได้ ถนนหนทางสะดวกสบาย

ติดต่อใคร ที่ไหน
ก่อนมาเที่ยว อันนี้สำคัญครับ ต้องติดต่อกับพ่อหลวง (หรือผู้ใหญ่บ้านนั่นแหละ) บ้านปงถ้ำ เพื่อติดต่อให้แกจัดหารถพาไปส่งยังจุดเดิน ค่าใช้จ่ายเหมารถเพื่อไปส่งยังจุดเดิน ไป- กลับ 1600 บาท (อ้างอิงราคาจากที่ผมไป) รถเป็นรถแทรกเตอร์ติดพ่วง นั่งได้ประมาณ 10 - 15 คน ไปกันกี่คนก็พากันหารค่ารถเอา แต่ถ้าใครอยากลุยไม่จ้างรถ แนะนำว่าควรใช้รถ 4x4 หรือมอเตอร์ไซค์วิบาก เพราะไม่งั้นเข้าไปไม่ได้แน่ เนื่องจากถนนมันอยู่ในระดับที่เรียกว่าโหด

ส่วนเรื่องคนนำทาง และลูกหาบ จะจ้างหรือไม่จ้างก็ได้ (เน้นชัวร์ เน้นสบายก็จ้าง แต่พวกผมไม่ได้จ้าง) เวลาติดต่อก็ติดต่อพ่อหลวงเหมือนเดิมครับ

การเตรียมตัว อุปกรณ์
บนดอยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ซักอย่าง ฉะนั้น อยากกินอะไร อยากทำอะไร ต้องขนขึ้นไปเองทั้งหมด ไล่ไปตั้งแต่เต็นท์ ถุงนอน อาหารการกิน น้ำดื่ม ยาสามัญประจำบ้าน บนนั้นที่อาบน้ำไม่มี แหล่งน้ำมีแค่ที่เดียว ซึ่งเอาไว้ดื่ม แต่ต้องเดินลงมาจากดอยหนอกประมาณ กิโลเมตร กว่าๆ (ที่สูงชัน)

ร่างกาย เป็นไปได้ต้องฟิตและพร้อม แม้ความยากลำบากและความชันจะไม่ยากมาก รองเท้าเดินป่าอันนี้สำคัญมาก เน้นพวกพื้นรองเท้าที่ยึดเกาะดีๆ เพราะเวลาเดินไต่ดอยตรงที่เป็นหิน อันนี้ช่วยได้เยอะสุดๆ เรียกได้ว่า เลือกรองเท้าผิด ชีวิตอาจเปลี่ยนได้

ที่เหลือฤดูที่เหมาะแก่การเที่ยว น่าจะเป็นช่วงฤดูหนาวนี่แหละ ที่จะได้มีโอกาสยลโฉมทะเลหมอก (แต่ช่วงปลายฝนก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในระดับต้องชายตามอง) ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะได้ชมทะเลหมอก ก็ต้องเสี่ยงวัดดวงด้วย เพราะบางทีมันอาจจะเจอทะเลหมอกสวยๆ หรือเจอแต่หมอกจนไม่เห็นอะไรเลยก็ได้

สุดท้าย สภาพจิตใจขอให้พร้อมครับ มันอาจจะดูสูงชันและน่ากลัว แต่ถ้าคุณกล้าและทลายกำแพงความกลัวทิ้งลงทั้งหมด ดอยจะสูงและชันแค่ไหนก็ไม่มีหวั่น

ที่สำคัญอยากประมาทกันเด้อ แล้วไว้เจอกันคราวหน้า ถ้าคุณผู้อ่านยังต้องการผม

“ไม่สำคัญว่าคุณจะเคยอ่านงานของใคร แต่ขอให้รู้ไว้ว่า ผมรักคนอ่านทุกคน”

ความคิดเห็น

  1. ภาพสวยมากเลยครับ (เร่งสีไปนิดแต่ก็สวย) แชร์ข้อมูลนิดว่ายอดดอยหนอกจริงๆ สูง 1,077 เมตรครับ ส่วนยอดสูงสุด 1,694 เมตร นี่เป็นยอดดอยหลวงพะเยา ต้องเดินไต่สันเขาไปอีก 3-4 ชั่วโมง (ผมเคยขึ้นเส้นปงถ้ำ 2 ครั้ง ทางเส้นพะเยา-วังเหนือ 1 ครั้งผ่านยอดดอยหลวง)

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณครับข้อมูล เดี่ยวแก้ ส่วนภาพจริงสีมันสดไปและคมไปครับ เดี๋ยวว่าจะลงใหม่ ฮ่าๆ

      ลบ
  2. เป็นคนลำปางแต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ต้องไปลองซะแล้ว ขอบคุณเจ้าของกระทู้นะคะที่มาแชร์สิ่งดีดี หวังว่าลำปางจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับแบ็คแพ็คเกรอร์ค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ต้องไปลองครับ รับรองไม่ผิดหวัง

      ลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ขนมเด็กโบราณในความทรงจำ

Movie Review : อวสานโลกสวย (2016)

Movie Review : 12 Angry Men (1957) อย่าด่วนตัดสินใคร!